มองเผิน ๆ คุณอาจจะคิดว่านี่เป็นนวนิยายสืบสวนสอบสวน เพราะถ้าอ่านจากโปรยปกก็น่าจะคิดอย่างนั้น รวมถึงการดำเนินเรื่องตั้งแต่ต้นยันจบก็คือ การตามล่าหาหลักฐาน สืบสวนเหตุคดีฆาตกรรมอำพราง แต่พอผมอ่านไปจนเกือบจะจบแล้ว ผมกลับรู้สึกว่านี่มันไม่ใช่นิยายสืบสวน อย่างน้อยก็ไม่ใช่ประเทศรหัสคดีแบบเชอร์ล็อก โฮล์ม หรืออกาธา คริสตี้
มันคือ...นิยายวิพากษ์สังคมและมนุษย์
โปรยปก
ตลอดชีวิต เฮนรี พาเลซ ไม่เคยอยากเป็นอะไรเลยนอกจากตำรวจ แต่ในวันที่ฝันเป็นจริง ฟ้าก็ส่งมฤตยูลงมาจากเบื้องบน เมื่ออุกกาบาตขนาดยักษ์กำลังพุ่งตรงเข้ามา ถึงจะยังมีเวลาอีกหกเดือน แต่ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เฮนรี พาเลซ กลายเป็นนายตำรวจเพียงคนเดียวที่ยังดูดำดูดี และวิ่งพล่านเป็นบ้าอยู่โดยลำพัง เมื่อพบคดีที่เขามั่นใจว่าเป็นฆาตกรรมอำพรางไว้ในรูปแบบฆ่าตัวตาย ในสถานการณ์ของโลกวันนี้ที่การฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่เข้าใจได้และใครๆ ก็ทำกัน
ในวันที่เขาได้เป็นตำรวจ กลับไม่เหลือตำรวจที่ไหนใส่ใจในงานของตัวเองอีกต่อไปแล้วก็จะพยายามตามจับฆาตกรไปทำไม ในเมื่อโลกกำลังจะแตก และทุกคนกำลังจะตายอยู่ดี
เริ่มต้นฉากของเรื่อง มันอาจจะมีกลิ่นของความเป็นไซไฟอยู่เล็กน้อย และ (โดยส่วนตัว) ผมจะรู้สึกสนุกกับช่วงบรรยายเกี่ยวกับข้อมูลของอุกกาบาตเป็นอย่างมาก ทั้งเรื่องโอกาสการชน ผลการวิจัย ความเป็นไปทางเศรษฐกิจ และการเมือง และอื่น ๆ
The Last Police Man ตั้งอยู่ในบริบทของคำถามที่ว่า
"ถ้าคุณรู้ว่าจะต้องตายในเวลาใด (ในที่นี้คือเวลาที่อุกกาบาตพุ่งชนโลก) คุณจะทำยังไงกับชีวิต"
ผู้คนในเรื่องเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยงไม่สนโลก และบางส่วนก็ฆ่าตัวตาย และนั่นส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ สภาวะเศรษฐกิจล่ม คนไม่ทำตามหน้าที่ของตน ทำให้ผมคิดว่า ทำอย่างนี้ ช่วงเวลาชีวิตที่เหลืออยู่ มันก็แทบจะเป็นชีวิตที่ห่วยแตกสิ้นดี โทรศัพท์ติด ๆ ดับ ๆ อินเทอร์เน็ตใช้การแทบไม่ได้ ร้านอาหารแทบไม่มีให้เลือก
โลกแตก สันดาน และความเป็นมนุษย์
นี่ไม่ใช่เรื่องลึกลับสืบสวนกลิ่นไซไฟทั่วไป แต่ละเมียดละไมในการลงลึกกับรายละเอียดของความเป็นมนุษย์อย่างยิ่ง
การดำเนินเรื่องไม่มีอะไรให้หวือหวามากนัก แต่ผมกลับรู้สึกสนุกในการได้ติดตามความเป็นไปของเฮนรี พาเลซ ทั้ง ๆ ที่หมดทั้งเรื่องไม่ค่อยจะมีจุดพีคสักเท่าใดนัก และพออ่านจบก็ยังมีจุดที่สงสัยและไม่เข้าใจอยู่เต็มไปหมด
ความสนุก ที่ผมพูดถึงก็คือ ตัวละครต่าง ๆ ที่ตัวเอกเดินทางไปหา เก็บข้อมูล สอบปากคำ ได้สะท้อนถึงสันดานและอารมณ์ของมนุษย์ออกมา และทำได้อย่างเป็นธรรมชาติด้วย ผมชอบไดอะล็อกคำพูดที่เขียนออกมาได้ดิบและตรงความเป็นจริงดี มันสนุกที่ว่า เราได้เห็นคำตอบของคำถามข้างบนที่ผมเพิ่งถามไป
เราได้เห็นว่า มนุษย์จะทำตัวเช่นไร
ถึงกระนั้น เมื่อผมอ่านจบในบทส่งท้ายก็อยากจะร้องว่า "ให้ตายเถอะ!" ออกมาดัง ๆ
เพราะตลอดทั้งเรื่องนั้น ผมเอาแต่หวังลึก ๆ ว่า ถ้าเหตุทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผลสรุปแล้ว อุกกาบาตไม่ชนโลกขึ้นมา ผู้คนจะทำตัวยังไง
ตอนจบไม่ได้บอกไว้ แถมไม่ได้รู้สึกอยากตามต่อมากเหมือนนวนิยายเรื่องอื่น ๆ ถามว่าลงตัวและสมบูรณ์แบบไหม ก็คงไม่
แต่สิ่งหนึ่งที่หลงเหลือเมื่อหน้ากระดาษหน้าสุดท้ายปิดลง ก็คือ ความค้างคา ต่อคำถามที่ยังคงอยู่ในใจเสียมากกว่าว่า
"ถ้าโลกแตก เราจะทำตัวยังไง"
Comments